สังคมที่วุ่นวายและเร่งรีบ แข่งขันกันในปัจจุบัน ทำให้ต่างคนต่างก็ต้องดูแลตนเองได้ การขับรถก็เช่นเดียวกัน ผู้สูงอายุหลายท่าน แม้ว่าจะอายุมากแล้ว ก็ยังคงขับรถไปไหนมาไหนเอง
ในการขับรถของผู้สูงอายุนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เมื่ออายุมากขึ้นจนการมองเห็น การได้ยิน รวมถึงการตอบสนองต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าต่างๆ ด้อยลง ก็ควรมีผู้มาช่วยขับให้แทนจึงจะเกิดความปลอดภัย
นอกจากสภาพทางร่างกายแล้ว การเป็นโรคต่างๆ ก็มีผลต่อการขับรถเช่นเดียวกัน โดยโรคที่มีผลต่อการขับรถมีดังนี้
1. โรคตา
ผู้ที่เป็นโรคตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ทำให้ขับรถในเวลาโพล้เพล้หรือตอนกลางคืนแล้วมองไม่ชัด ในผู้ป่วยต้อหินยังอาจมีลานสายตาที่แคบทำให้มองเห็นภาพส่วนรอบได้ไม่ดี ผู้ป่วยโรคต้อหินจะมองเห็นแสงไฟบอกทาง ไฟหน้ารถพร่าได้
2. โรคทางสมอง
ผู้ที่สมองเสื่อม มีอาการหลงลืม ขับรถหลงทาง เลี้ยวผิดเลี้ยวถูก การตัดสินใจและสมาธิไม่ดี หรือแขนขาไม่มีแรงที่จะขับรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกหรือเปลี่ยนเกียร์ได้ดี หรือความไวของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ลดลง
3. โรคต่างๆ
โรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขับรถ และทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น
- โรคพาร์กินสัน ที่มีอาการแข็งเกร็ง มือสั่น บางทีมีเท้าสั่นด้วย ทำอะไรเชื่องช้าลง ทำให้ขับรถได้ไม่ดี
- โรคลมชัก ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุมากกว่าคนหนุ่มสาว เมื่อมีอาการชัก จะเกร็ง กระตุก ไม่รู้สึกตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- โรคหัวใจ ทำให้อาจมีอาการแน่นหน้าอกเมื่อขับรถนานๆ เครียดจากรถติด
- โรคเบาหวาน ทำให้มีอาการหน้ามืด ใจสั่น สมาธิไม่ดี ตาพร่า ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำลง
- โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการขับรถเช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เหยียบเบรกได้ไม่เต็มที่
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่ต้องกินยาหลายชนิด และมีผลทำให้ง่วงซึม เช่น ยาแก้เวียนศีรษะ ยาลดน้ำมูก ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ก็ส่งผลต่อการขับรถเช่นเดียวกัน
อันตรายบนท้องถนนนั้น อาจส่งผลถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้เสมอ ดังนั้น หากมีโรคประจำตัวที่มีผลต่อการขับรถ รวมถึงกินยาที่ทำให้ง่วงซึมก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเองจะดีที่สุด
ผู้สูงอายุทั้งหลาย ถ้าท่านไม่อยากแก่เกินวัย และยังดูสดใส ไม่แพ้วัยหนุ่มสาวแล้วล่ะก็ ว
เตือนภัย! ผู้สูงอายุต้องรู้ทัน SMS ดูดเงิน หรือ SMS ปลอม ที่มาพร้อมกลโกงสุดแยบย
วัยสูงอายุ เป็นวัยที่มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า และขาดความภาคภูมิใจในตัวเองได้ง่ายม
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่สภาพร่างกายไม่สามารถใช้งานได้ดั่งใจเหมือนวัยหนุ่มสาว จึงส่ง
ในวัยสูงอายุ เป็นวัยที่ต้องพิถีพิถันในเรื่องของโภชนาการมากขึ้น จึงต้องมีการวางแผนการกิน การทานอาหารที
ความจริงแล้ว อายุที่เพิ่มมากขึ้นไปจนถึง 40 ขึ้นไป คุณก็เข้าสู่ช่วงสูงวัยแล้ว และเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป คุณก็