6 วิธีรักษา โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ)

6 วิธีรักษา โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ)

โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ) คือ ภาวะที่เอ็นใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ มักพบในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เท้ามากในชีวิตประจำวัน อาการหลักๆ คือเจ็บส้นเท้า โดยจะรู้สึกปวดมากในตอนเช้าเมื่อลุกจากเตียง อาการมักเป็นๆ หายๆ แต่หากใช้งานเท้าหนักโดยไม่ดูแล อาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเรื้อรังได้ ในบางกรณีเมื่อเอกซเรย์อาจพบหินปูนงอกบริเวณกระดูกส้นเท้า ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบสะสมเป็นเวลานาน

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อโรคนี้ :

1. คนสูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น พังผืดฝ่าเท้าจะเสื่อมสภาพและยืดหยุ่นน้อยลง

2. ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
น้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติสร้างแรงกดดันให้ฝ่าเท้า จนเกิดอาการอักเสบได้ง่าย

3. ผู้ที่ต้องยืนหรือเดินเป็นเวลานาน
การใช้งานเท้าหนักเกินไปส่งผลให้พังผืดเกิดการอักเสบ

4. คนที่มีอุ้งเท้าสูงหรือแบนผิดปกติ
ลักษณะเท้าที่ผิดปกติเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

5. ผู้ที่ใส่รองเท้าไม่เหมาะสม
รองเท้าพื้นแข็งหรือบางเกินไปทำให้ฝ่าเท้ารับแรงกระแทกโดยตรง

สำหรับ 6 วิธีรักษา โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ) มีดังนี้ :

1. พักเท้าและลดการอักเสบด้วยยา
ลดการเดินหรือยืนมากเกินไป หากจำเป็นอาจใช้ไม้เท้าพยุง และประคบเย็นบริเวณที่เจ็บครั้งละ 20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ยาลดอาการอักเสบควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกิน 2-3 สัปดาห์

2. บริหารเพื่อฟื้นฟูพังผืดและเอ็นฝ่าเท้า
- ท่ายืดเอ็นร้อยหวาย นั่งเหยียดขา ใช้ผ้าคล้องปลายเท้า ดึงเข้าหาตัว ค้างไว้ 15-20 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
- คลึงพังผืดฝ่าเท้า ใช้ขวดน้ำเย็นหรือลูกเทนนิสคลึงใต้ฝ่าเท้า

3. ใช้แผ่นรองเท้าหรือเฝือกอ่อน
การใส่แผ่นรองส้นเท้าหรือรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทก จะช่วยลดอาการอักเสบได้ การใส่เฝือกอ่อนเพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อเท้าก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการ

4. การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy)
เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการผ่าตัด

5. การผ่าตัด (เฉพาะกรณีรุนแรง)
หากวิธีอื่นไม่สามารถบรรเทาอาการได้ อาจต้องผ่าตัดเพื่อลดความตึงของพังผืดและนำหินปูนออก

6. การฉีดยาลดการอักเสบ
หลีกเลี่ยงการฉีดยาสเตียรอยด์ในบริเวณส้นเท้า เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกติดเชื้อ ไขมันฝ่าเท้าฝ่อ หรือเอ็นฝ่าเท้าฉีกขาด

ข้อควรระวัง :
บางกรณีอาการเจ็บส้นเท้าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น หากรักษาด้วยตัวเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 2 เดือน หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ดูแลสุขภาพเท้าของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ทุกก้าวเดินกลับมาสบายและมั่นใจอีกครั้ง


บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคผิวหนัง อาการคัน และผื่น กับวัยของผู้สูงอายุ

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ผิวหนังจะเริ่มเหี่ยวลง และอาจมีอาการคันมาก มีผื่นขึ

ยาไม่ทำให้ไตวาย ถ้าใช้อย่างถูกต้อง

ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยมีผู้ป่วย โรคไตเรื้อรัง 1.12 ล้านคน มีแนวโน้มเพิ่

การดูแลผู้สูงอายุในการปัสสาวะ

ปัญหาเรื่องการปัสสาวะ เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากสภาพร่างกายไม่กระฉับกระเฉงและแข็งแร

การดูแลสุขภาพผิวสำหรับผู้สูงอายุ

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบต่างๆ ในร่างกายก็จะทำงานได้ลดลง ประสิทธิภาพด้อยลง และส่งผ

ดูแลสุขอนามัย ห่างไกลโรคระบบทางเดินปัสสาวะในผู้สูงอายุ

โรคระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะนั้น พบได้มากในผู้หญิง เน

การออกกำลังกาย สำหรับผู้สูงอายุ

สิ่งที่ดีต่อสุขภาพของคนเรา ไม่ว่าจะเพศใด หรืออายุเท่าใดนั้น คือการทานอาหารให้ครบ 5 หมู